วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีการใช้ Movie Maker ในการทำ Teaser



1.คลิกที่ปุ่ม "เพิ่มวิดีโอ และรูปถ่าย" จากนั้นวิดีโอและรูปถ่ายที่เราต้องการ ในจำนวนไม่จำกัด


2.เลือกเพลง และวิธีการต่างๆ
    2.1 คลิกเพื่อเลือกเพลงสำหรับวิดีโอนี้
    2.2 คลิกเพื่อเพิ่มชื่อเรื่อง หรือหน้าว่างสำหรับใส่คำ หรือใส่สีให้สวยงาม
    2.3 คลิกเพื่อเพิ่ม คำอธิบายใต้รูปภาพ


3.เพิ่มฟังก์ชั่นสำหรับวิดีโอนี้
   3.1 เลือกช่วงการเปลี่ยนภาพในรูปแบบต่างๆ
   3.2 คลิกที่ปุ่ม "นำไปใช้ทั้งหมด" หมายถึง การที่เราเลือกฟัก์ชั่นการเปลี่ยนภาพนี้ทุกอัน (สำหรับกรณีที่มีหลายวิดีโอหรือหลายภาพ)
   3.3 คลิกเพื่อให้เวลาในการสไลด์

4.คลิกเพื่อกำหนดการเคลื่อนไหวของรูปภาพ เมื่อสไลด์มาถึง เช่น เลือ่นขึ้นบนเรื่อย ลงล่างเรื่อยๆ เป็นต้น


5.เลือกสีของวิดีโอ หรือรูปภาพตามที่เราต้องการ


6. เลือกเอฟเฟ็คขอวิดีโอ
   6.1 กดเมื่อต้องการปรับแต่งเสียง


7. แก้ไขวิดีโอ
   7.1 คลิกเพื่อกำหนดว่า ให้เสียงเบา หรือเพิ่มขึ้น
   7.2 คลิกเพื่อกำหนดความเร็วของวิดีโอ
   7.3 คลิกเมื่อต้องการ ตัด แต่งวิดีโอ (อื่นๆ)

8. บันทึก
   คลิกที่คำว่า File และเลือก บันทึกโครงการ แต่จะเป็นไฟล์ของ Movie Maker หากต้องการบันทึกเป็น Mp4 ให้กดที่ บันทุกภาพยนตร์ และคลิกคำว่าท "เหมาะสำหรับโครงการนี้"

ที่มา : http://supunsa-k.blogspot.com/2014/09/movie-maker-teaser.html

ประโยชน์ของการเรียนภาษาอังกฤษ

จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลทางวิทยาศาตร์ สามารถพิสูจน์ได้ว่า คนที่สามารถพูดได้มากกว่า 1 ภาษานั้น สามารถทำให้การทำงานของสมองนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าทั้งด้านการประมวลผลที่รวดเร็วและถูกต้อง และนี่ก็เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่าง Infographic: ประโยชน์ของการเรียนภาษาอังกฤษ แล้วคุณทราบประโยชน์อะไรของการเรียนภาษาอังกฤษบ้างครับ ลองดูภาพ Infographic: ประโยชน์ของการเรียนภาษาอังกฤษ ของเราว่ามีผลอะไรกับเพื่อนๆเมื่อเพื่อนๆสามารถพูดได้มากกว่า 1 ภาษา


ที่มา : http://www.kaplaninternational.com/th/benefits-learning-english

บทสนทนาภาษาอังกฤษเบื้องต้น ฉบับง่ายๆใช้ได้ในชีวิตประจำวัน

บทสนทนาภาษาอังกฤษฉบับง่ายๆเหล่านี้จัดทำขึ้น เพื่อให้ผู้ที่เริ่มเรียนรู้การสนทนาภาษาอังกฤษสามารถนำประโยคภาษาอังกฤษที่ง่ายๆ และใช้ได้จริงนำไปฝึกฝนให้สามารถสนทนาได้ในเบื้องต้น บทสนทนาเหล่านี้อาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับผู้ที่พูดอังกฤษได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่สำหรับผู้ที่เริ่มเรียนรู้ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพราะประโยคที่ใช้ไม่ซับซ้อนและมีไม่กี่ประโยค พร้อมทั้งคำอธิบายความหมาย และแปลคำศัพท์ให้เป็นที่เรียบร้อย เพื่อเสริมความเข้าใจให้ดียิ่งขึ้น
ที่มา : http://www.dailyenglish.in.th/100-basic-vocabulary/

คำว่า “ไม่เป็นไรภาษาอังกฤษ”พูดได้อย่างไรบ้าง

คำว่า ไม่เป็นไรภาษาอังกฤษ” มีอยู่ 2 ประเภท
ประเภทที่ 1  ใช้ตอบรับการขอบคุณ
พอเราได้ไปช่วยเหลือใครแล้วเป็นธรรมดาที่พวกเขาก็ต้องกล่าวขอบคุณเรา ฝรั่งเค้าก็อาจจะพูดกับเราว่า Oh, thank you very much for helping me. เชื่อว่าหลายคนก็คงมีโมเม้นที่ได้แต่พยักหน้าส่งยิ้มแหยๆไปให้ ถ้าเราไม่ตอบเลยมันก็จะดูเหมือนเราเสียมารยาท แต่ตอนนั้นมันนึกไม่ออกจริงๆใช่ไหมล่ะคะ แต่หลังจากนี้ปัญหานี้จะหมดไป เพราะถ้าเมื่อไหร่มีคนต่างชาติขอบคุณเราที่เราช่วยเหลือเขาก็ใช้ประโยคพวกนี้ตอบกลับเขาไปได้เลยค่ะ
It’s my pleasure. /It’s a pleasure./ You’re welcome
(อิทสฺ มาย เพลเช้อรฺ / อิทสฺ สะ เพลเช้อรฺ / ยัวรฺ เวลคัม)
ด้วยความยินดี เหล่านี้ทุกคนอาจจะงงว่า เฮ้ย ไม่ได้แปลว่าไม่เป็นไรซะหน่อย แต่พวกนี้เหมาะแก่การตอบรับเวลามีคนขอบคุณมากที่สุด เพราะเป็นการแสดงความยินดีที่จะช่วย ไม่เกี่ยงงอน พร้อมทำให้เสมอ ดีกว่าคำว่าไม่เป็นไรเยอะ แต่ความหมายโดยในหมายถึงก็หมายถึงไม่เป็นไรได้เช่นกัน
I’m glad to do it. (แอม แกลด ทู ดู อิท) ฉันยินดีที่จะทำมันให้คุณ คล้ายๆกับกลุ่มด้านบนไม่ได้บอกตรงๆว่าไม่เป็นไร แต่ฉันยินดีทำให้คุณนะ
Not at all (นอท แอท ออล) อันนี้แหละค่ะมีความหมายว่าไม่เป็นไรล่ะ
Don’t mention it (ด้อนทฺ เมนเชิน อิท) แปลตรงตัวคือ ไม่ต้องพูดถึงมันหรอก แบบว่าฉันทำให้เธอไม่ได้หวังอะไร ไม่ต้องพูดถึงมันหรอก
It’s nothing (อิทสฺ นอทธิง) ในที่นี้มีความหมายว่าไม่เป็นไร แบบสิ่งที่เราทำให้เราเต็มใจ ไม่ต้องคิดมาก ไม่มีอะไรมากหรอก ลักษณะจะคล้ายๆ Don’t mention it
ประเภทที่ 2 ใช้ได้ทั้งตอบรับคำขอบคุณ และตอบรับคำขอโทษ
That’s all right. / That’s OK. / It’s all right. / It’s OK.
( แดทสฺ ซอล ไร้ทฺ / แดทสฺ โอเค/ อิทสฺ ออล ไรธ/อิทสฺ โอเค)
คำเหล่านี้อยู่ในหมวดเดียวกัน แปลว่า ไม่เป็นไร ใช้ได้ง่ายและว่าไปได้ยินบ่อยมากๆเหมือนกัน นอกจากจะเป็นไม่เป็นไรที่ใช้ตอบรับคำขอบคุณ และขอโทษแล้ว ยังสามารถใช้ในกรณีต้องการบอกว่า ทุกอย่างโอเค ไม่มีปัญหาอะไรได้ด้วย เช่น เจนนี่โดนลูกค้าด่ามาเพื่อนก็มารุมถามด้วยความเป็นห่วง เธอก็ตอบไปว่า “It’s all right. Just one bad day” หมายถึง ไม่เป็นไร ก็แค่วันแย่ๆวันหนึ่ง อย่างนี้ก็ใช้ได้
No problem / It doesn’t matter/ No trouble at all
(โน พรอบเบล็ม / อิท ดาสซึนทฺ แมทเทอรฺ / โน ทรับเบิล แอท ออล)
ประโยคเหล่านี้แปลว่า ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ลักษณะประมาณว่า คนที่ขอบคุณหรือขอโทษเราคิดว่าเขาสร้างปัญหาให้เรา เราก็พูดให้เขารู้สึกดีว่า No problem / It doesn’t matter/ No trouble at all ให้เขารู้ว่า เรื่องของเขาไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเราเลย ไม่เป็นไร อย่ากังวล เช่น เจนนี่โดนวานให้วิ่งไปเอากล่องพัสดุให้เพื่อนของเธอที่รู้สึกเกรงใจเธอมาก เจนนี่ก็ตอบกลับเพื่อนของเธอว่า “No problem. I’ll get it for you” ไม่มีปัญหาน่า เดี๋ยวฉันไปเอามาให้ หรือเมื่อเจนนี่เห็นคนแก่ข้ามถนนเธอก็รีบลงไปช่วยพาข้าม คนแก่ก็ขอบคุณเธอ เจนนี่ก็อาจจะตอบรับว่า “No problem” ก็ได้
Don’t worry about it (ด้อนทฺ วอรี เออะเบาทฺ อิท) แปลว่า ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมัน หรือไม่ต้องคิดมากนั่นเอง อาจมีคนขอบคุณหรือขอโทษเราแต่เราไม่ได้คิดอะไรก็บอกเค้าไปว่า เฮ้ยไม่ต้องคิดมาก อย่ากังวลเลย อันนี้เราใช้ในกรณีอยากปลอบใจคนฟังก็ได้นะคะ ถ้าเพื่อนเราเจอปัญหามาแล้วกำลังเครียดๆเราก็บอกเค้าได้ว่า Don’t worry about it อย่ากังวลไปเลย
ที่มา : http://www.dailyenglish.in.th/no-problem-in-english/

บทสนทนาภาษาอังกฤษ: Vegan

บทสนทนาภาษาอังกฤษ Vegan พูดถึงการกินเจ โดยนอกจากจะละเว้นการกินเนื้อสัตว์แล้วยังงดอาหารจำพวก นม ไข่ อีกด้วย
Kristin: You know, we’ve been talkin’ about vegetarianism but being a vegan is a whole different story.
Joe: Yeah, you’re right, I mean it’s a totally different ball game, for sure.
Kristin: Yeah, you’ve been one for a while now.
Joe: Yeah, I have, I mean, y’know, it was a little more difficult when I first started. But, y’know, at this point I don’t even have to think about it. It’s just second nature.
Kristin: Yeah, I can imagine. Well, you know Chris that you met just a couple of weeks ago?
Joe: Yeah, yeah, I know who you’re talking about.
Kristin: He’s, he’s the first vegan that I ever met. I actually met him, uh, right after I graduated from college. I still wasn’t even a vegetarian and he was already a vegan at that point.
Joe: Did you even, like, know what a vegan diet entailed at that point?
Kristin: Yeah, it’s hard for me to think back that far, but, probably not. I probably learned about it through him.
Joe: Yeah, because I don’t think there, it was, uh, something that was very popular…
Kristin: No.
Joe: …at, at that time.
Kristin: No, it wasn’t. I will say, though, that there were, um, one, oh actually there were two vegetarian restaurants in Athens where I was going to college. And, of course, Athens being like San Francisco, a lot of the restaurants had vegetarian options. But shortly after meeting Chris, there was a vegan restaurant that actually popped up.
Joe: Oh yeah?
Kristin: Yeah, it didn’t, didn’t stay very long, but just the fact that one actually came to Athens was pretty surprising.
Joe: There wasn’t enough interest.
Kristin: I guess not.
Joe: Yeah.
Kristin: Actually, though, I didn’t even think the food was that good.
Joe: Yeah, okay, well that’s even worse ‘coz then people who actually go in there who aren’t interested in becoming a vegetarian get turned off even more to the idea.
Kristin: Yeah, that, and I think it was just kind of a little pretentious which doesn’t go over very well in a college town.
Joe: No, you’re right. Well, I mean, I remember when I first made the switch over to being a vegan. I didn’t do it, y’know, just… I didn’t go cold turkey. I mean I, I was dating someone who decided that she wanted to cut dairy out of her diet. So, ‘coz we were both vegetarians already and we ate together pretty much every night… So I found that I wasn’t really eating much dairy at all to begin with. So I thought, well, y’know, maybe now’s the time to give it a shot. Let’s see how it goes. So I decided I was gonna do it for a week or two. And, uh, after about, y’know, maybe five days, I decided I really wasn’t missing the dairy. So I made the decision to just, y’know, turn over a new leaf and decided, I’m not gonna eat dairy anymore.
Kristin: Oh, interesting.

Joe: Yeah, it went really well. Y’know, one of the things that I’ve found most interesting?
Kristin: What?
Joe: When you tell somebody that you have a vegan diet, especially if they’re not a vegetarian already, the first thing they say is, “Well, what do you eat?”
Kristin: Right.
Joe: And, y’know, what I’ve realized? The reason they say that is because they look at their own diet. They remove all the meat. They remove all the dairy. And then they look at what’s left. And they see, there’s really nothing else left for them.
Kristin: Yeah.
Joe: They don’t consider what else there is to eat, they only consider what…
Kristin: Yeah.
Joe: …there is to eat that they currently eat that isn’t meat or dairy.
Kristin: Right, right.
Joe: Yeah, so, but how ‘bout you? I mean you, you were in a diet, or, you weren’t doin’ the vegan diet all that long when we first met.
Kristin: No, I wasn’t. In fact, I think that, um, AJ at one point had decided that he wanted to become a vegan and so that started making me think. Hmm… Y’know, considering that, the reasons why he was and thinking about it… But, but at the same time thinking, no, I love cheese. I love dairy way too much. I mean I gave up
seafood. That was enough. I’m not giving up dairy.
Joe: Yeah.
Kristin: But then actually going and living in Korea. Japan for a short time… Thailand for two and a half years… And, y’know, the, dairy is pretty non-existent in those diets. I did give it up for those times. And so when I would come back to America I would think, y’know, I could do it. I did it for the, the amount, the stints that I was there. I can do it here. But I would find myself going right back into eating cheese and drinking milk and…
Joe: Yeah, that seems to be the nemesis of anyone going vegan. Uh, because, especially if you started out as a vegetarian…vegetarians like cheese [laugh] is what I’ve found. So, uh, it’s…
Kristin: Oh my god, for me it was…
Joe: …to suddenly give it up is difficult.
Kristin: …for me it was cheese, yogurt, sour cream, aahh…
Joe: Oh, y’see, I’ve never really liked sour cream.
Kristin: Oh, I loved it.
Joe: But I always did like cheese. Y’know, I loved brie and brie and baguette and brie and crackers.
Kristin: Yeah.
Joe: But, y’know, there’s, uh, there’s non-dairy cheeses out there as well that, y’know, taste pretty good. And they, they’re really a good substitute.
Kristin: Yeah. Well, I’ve been vegan now for just about a year. And, y’know, when I met you it had been about four months only at that point. And I thought I was in over my head. I mean it was really tough at first. In fact, I don’t know that I would still be doin’ it if I hadn’t met you. Simply because you opened me up to a lot of restaurants here in The Mission, where I’m now living with you, that have a lot of vegan options. I didn’t have that available to me downtown where I used to live. Plus, um, you cook…y’know. I didn’t cook. So you’re teaching me how to cook vegan, um. I was eating mostly like… When I wasn’t eating out at restaurants, I was just making maybe rice and then having avocado and nuts and salad. And, that was my main staple, pretty much. And even when I was eating out, I would, I thought that I could go to a Mexican restaurant and just tell them no cheese and that I was safe. But come to find out, I was getting guacamole a lot of times with sour cream.
Joe: Well, y’know, suffice to say, I was really glad to meet you as well. And one reason was that it was great to finally meet someone who was on the same page as me as far as diets go.
Kristin: Yeah, I agree.
ที่มา : http://www.dailyenglish.in.th/vegan-english-conversation/

How to speak English? / กฏ 10 ข้อ ที่จะช่วยให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้

อยากบอกจริงๆ เลยว่าภาษาไม่ได้ยากอย่างที่เคยคิด เคยกลัวกันค่ะ คราวที่แล้วเคยเขียนเกี่ยวกับการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษไว้ คราวนี้ก็มีวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไม่แพ้เจ้าของภาษากันเลย มีแค่ 10 ข้อ เท่านั้นเองค่ะ

1. Forget the rules / ลืมๆ ไวยากรณ์ซะบ้าง 
ตั้งแต่เล็กจนโต อาจารย์ที่เคารพรักก็ปลูกฝังเราให้ท่องจำไวยากรณ์ซะยังกับเป็นสุดยอดของการเรียนภาษาอังกฤษยังไงยังงั้น ประมาณว่าผิดไม่ได้ ไม่งั้นภาษาจะไม่สมบูรณ์ เพราะเหตุนี้แหละทำให้เด็กไทยพูดอังกฤษไม่ได้ซะที จำไว้นะคะ ว่าหัวใจของภาษาคือการสื่อสารค่ะ คิดอะไรได้ก็พูดมันออกมาเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะผิดหรือถูก เดี๋ยวมันได้เอง เลิกกังวลว่าประโยคนี้จะผิดไวยากรณ์ไหม การพูดนะคะ ไม่ใช่การเขียน Take it easy ค่ะ

2. Nobody's perfect / ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
อยากจะบอกว่าแม้แต่ฝรั่งเองก็พูดผิดไวยากรณ์เหมือนกัน ไม่ใช่น้อยๆ นะคะ ครึ่งต่อตรึ่งกันเลยแหละขอบอก เราไม่ใช่ฝรั่ง จะพูดผิดบ้างถูกบ้างจะเป็นไรไป จริงไหม

3. Speaking is not a test / ไม่มีคะแนนสำหรับการพูดนะคะ
อย่างที่บอก การพูดนะคะ ไม่ใช่การเขียน ที่จะคอยมานั่งเช็คว่ามันถูกไวยากรณ์กี่คำ กี่ประโยค และไม่เคยพบเห็นชาวต่างชาติคนไหนมาให้คะแนนเวลาที่คุยกะเราสักที มันไม่มีคะแนนสูงสุดหรือต่ำสุดหรอกค่ะ ขอให้คิดเป็นเรื่องสนุกๆ ดีกว่า แล้วการพูดจะดีขึ้นเอง confirm!

4. Listen & copy / ฟังเยอะๆ แล้วจำมาใช้แยะๆ 
เป็นอีกวิธีที่ได้ผลค่ะ เวลาเราดูหนังหรือได้ยินฝรั่งพูดอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ก็จำเอามาไว้พูดในสถานการณ์เดียวกัน แนะนำให้ไปเช่าหนังที่มี subtitle มา แล้วฟังและพูดหรือออกเสียงตามก็ได้ รับรองเลยว่านอกจากจะสนุกแล้ว ยังได้คำและวลีแปลกๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันด้วยนะ

5. Read, read & read / อ่านเยอะๆ
อะไรที่เป็นภาษาอังกฤษอ่านเข้าไปเถอะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นป้ายโฆษณา ใบปลิว แผ่นพับ หนังสือ หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าอ่านออกเสียงได้จะดีมาก ฝึกปากเราให้เป็นธรรมชาติ เวลาเจอฝรั่งมันจะได้ออกมาแบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังได้ศัพท์ใหม่ๆ เพิ่มเติมในทุกๆ วันด้วย

6. Could you please slow down? / อย่าอายที่จะขอให้คู่สนทนาช่วยพูดให้ช้าลงหน่อย
ประโยคนี้ควรติดปากไว้เลยค่ะ ไม่มีใครโกรธหรอกค่ะ เขากลับจะดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ต้องพูดซ้ำหลายๆ ครั้งเวลาเราไม่เข้าใจ แต่ธรรมชาติของคนไทยมักจะไม่กล้า รู้มั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง ก็ทนฟังกันไป ต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้วนะคะ

7. Get a foreign friend / คบเพื่อนฝรั่งสักคน
มีไว้เพื่อฝึกพูด ยิ่งกับเจ้าของภาษาด้วยแล้วก็จะทำให้การพูดของเราพัฒนาได้ดียิ่งขึ้น คอยช่วยแก้ไขประโยคหรือคำให้ถูกต้องได้อีกด้วย ถือเป็นวิธีฝึกภาษาที่ได้ผลทีเดียว แต่บางคนอาจจะก้าวหน้าถึงขั้นได้แฟนเป็นฝาหรั่งก็ว่ากันไป แล้วแต่บุญพาวาสนาส่ง สุดท้ายจะเป็นคู่แท้หรือชั่วครั้งชั่วคราวก็แล้วแต่ใจรักใจชอบ  เอ๊....ไปไกลแล้วเนี่ยเรา

8. Don't Trnslate / อย่ามัวแต่แปล
ฟังแล้วแปลเป็นไทยรอบนึง จะตอบก็แปลจากไทยเป็นอังกฤษแล้วค่อยพูด อย่างนี้ไม่ไหวนะคะ เพราะจะทำให้การโต้ตอบช้าไป ติดขัดที่คำศัพท์ไหนก็ข้ามไปก่อน หรือจะใช้ภาษามือก็ได้ ไม่ผิดกติกค่ะ เดี๋ยวคู่สนทนาเราก็บอกให้ทราบเองแหละ เราก็จะได้ศัพท์นั้นเพิ่มมาแบบไม่รู้ตัว จำได้ดีกว่าท่องจำอีกค่ะ เค้าเรียกว่า learning by doing.

9. Don't give up / อย่าท้อ
เป็นธรรมดาที่ในโลกนี้มีคนเก่งกว่าเราก็เยอะ ที่แย่กว่าก็แยะ ดังนั้นอย่าท้อที่เห็นคนอื่นพูดเก่งกว่า หมั่นฝึกฝนไปเรื่อยๆ การพูดเราก็จะดีขึ้นเอง สักวันเราก็จะสามารถพูดได้อย่างคนๆ นั้น ขออย่างเดียว อย่าล้มเลิกกลางคันเท่านั้นเป็นพอ

10. Be brave / กล้า กล้า และกล้าเข้าไว้
ข้อเนี้ย สำคัญที่สุดเลยที่จะทำให้คุณพูดได้หรือไม่ได้ เพียงข้อเดียวนี่แหละ จะพูดให้เก่งก็ต้องเริ่มจากความกล้าที่จะพูด มัวแต่เหนียมอายไม่มีทางที่จะพูดได้เลย อยากพูดได้ต้องกล้าเท่านั้น เคยได้ยินไหม "ด้านได้ อายอด" ว่าแล้วก็ออกจากบ้าน ตรงไปที่วัดพระแก้ว ไม่ก้อนู่น สุขุมวิท ถนนข้าวสาร อะไรเทือกนี้ แรกๆ ก็ snake snake fish fish ไปก่อน บ่อยๆ เข้าเดี๋ยวมันก็คล่องเอง จริงๆ นะ

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/funnyretail/2013/10/22/

4 เคล็ดลับฝึกภาษาอังกฤษจากการดูหนัง

วิธีที่ 1 ดูหนัง Thai Subtitle ตามด้วย English Subtitle แล้วดู No Subtitle

วิธีนี้คงเป็นวิธีที่ทุกคนคงเคยได้รับคำแนะนำมาเพื่อใช้ฝึกภาษาอังกฤษอยู่ บ่อยๆ แต่ไม่เคยได้ทำตามเลยแม้สักครั้ง เนื่องจากต้องมีเวลาจริงๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่จำเป็นต้องดูหนังทั้งหมดนี้ให้จบในวันเดียวกัน แต่สามารถแบ่งไปดูวันอื่นๆก็ได้

วิธีที่ 2 อ่าน Plot หรือ ดูตัวอย่างหนัง ตามด้วย English Subtitle

วิธีนี้อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้เนื่องจากประหยัดเวลา และยังช่วยให้เราสร้างความหมายของคำศัพท์ต่างๆมาด้วยตัวเอง และไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่ความหมายของประโยคและคำต่างๆที่ผู้แปลเรียบเรียงขึ้นมา วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษมาแล้วในระดับหนึ่ง แต่ใครที่ไม่มีเวลาหรืออยากที่จะมีความรู้สึกเดียวกับการที่เราต้องไปอยู่ ท่ามกลางฝรั่ง วิธีนี้ก็คงเป็นตัวเลือกที่ดีในการมองหาจุดบกพร่องของเรา

วิธีที่ 3 ดูหนัง No Subtitle ตามด้วย English Subtitle

วิธีนี้จะมีความคล้ายคลึงกับวิธีที่ 2 เพียงแต่วิธีนี้จะเน้นไปถึงการทำความเข้าใจถึงส่วนต่างๆของเรื่องที่เราไม่ สามารถจับใจความได้ โดยการดูรอบแรกเป็นเพียงการทำความเข้าใจกับเนื้อเรื่องว่าเป็นไปในลักษณะใด และพยายามที่จะฟังประโยคต่างๆให้ออกเท่านั้น โดยรอบที่สองนั้น เราจะต้องพยายามอ่าน subtitle ให้หมด เพื่อดูว่าประโยคต่างๆนั้นเป็นไปตามที่เราฟังหรือไม่

วิธีที่ 4 ดูหนัง Thai Subtitle

ประสิทธิภาพในการฝึกภาษาอังกฤษด้วยการดูหนังชนิดนี้นั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร เพราะสิ่งที่เราได้รับมาคือคำแปลจากผู้บรรยาย ไม่ใช่คำแปลที่ผ่านจากกระบวนความคิดของเรา แต่ยังไงก็ตามยังมีวิธีที่จะทำให้การดูหนังประเภทนี้ช่วยเราในการฝึกภาษา อังกฤษได้บ้าง ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ แต่ทำได้ยาก นั่นก็คือ “การพยายามไม่ดู subtitle” สิ่งสำคัญในการฝึกคือ ต้องอดทนและกลั้นใจไม่มอง subtitle นั่นเอง
ที่มา : http://www.dailyenglish.in.th/practice-english-from-movies